วันอาทิตย์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2556

หลังปีใหม่คงจะมีคนจำนวนไม่น้อยที่น้ำหนักเพิ่มขึ้นหลังจากปาร์ตี้สุดเหวี่ยงในช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา
ครั้งนี้เลยเลือกกาแฟยอดนิยมในหมู่คนลดน้ำหนักอย่าง"เพรียว"มารีวิว
ด้วยแคลลอรี่ที่น้อยมากแค่ 30 Kcal กินเพรียว 3 กระป๋อง
ก็พอๆกับกินกาแฟทั่วไปกระป๋องนึงหรือกาแฟชงหนึ่งแก้ว
เรื่องความผอมไม่มีข้อกังขา เป็นรองแค่ Birdy กาแฟดำให้พลังงาน 30 Kcal เท่านั้น
 ...แล้วเรื่องรสชาติละ?



สี - สีของกาแฟขาดความนวลของนมและครีมเทียม แต่ก็ว่าไม่ได้เพราะนี่เป็นกาแฟลดน้ำหนัก เราคงหวังความสวยงามน่าดื่มด่ำยาก อีกทั้งเวลากินส่วนมากก็กินจากกระป๋องอยู่แล้ว โดยความรู้สึกแล้วเหมือนสีจะเข้มกว่าท้องตลาดนิดๆด้วยซ้ำ แต่ในภาพนี่อัดแฟลชเยอะไปหน่อย



รสกลิ่น - จางมากทั้งกลิ่นของกาแฟและกลิ่นของนมสด เรียกว่าแทบไม่ได้กลิ่นเลยดีกว่า ถ้าอยากได้กลิ่นจริงจังต้องเทใส่แก้วให้หมดกระป๋องแล้วดมจากกลิ่นที่ฟุ้งอยู่ในกระป๋องแทน มีกลิ่มขมแปลกๆพอให้สัมผัสได้และอบอวลไปด้วยกลิ่นอะไรบอกไม่ถูกแต่ไม่คล้ายกลิ่นกาแฟเสียเท่าไหร่ ชวนให้รู้สึกถึงเนื้อหมูเจที่เหมือนเนื้อหมูเด๊ะแต่ทำจากแป้งยังไงยังงั้น

รสชาติ - "จาง" คือจำกัดความที่ดีที่สุด แทบไม่รู้สึกถึงเนื้อนมและกาแฟที่ผสมอยู่เลย อมแล้วอมอีกยังไม่กล้าพูดว่านี่ดื่มกาแฟอยู่หรือเปล่า ยังดีที่มีกลิ่นพอให้รู้ว่านี่เป็นกาแฟ ไม่กล้าเปรียบเทียบอะไรมากเดี๋ยโดนฟ้อง(ฮา) แต่ถ้ากินหวังรสช่าติขอบอกได้ว่าข้ามไปได้เลย

ความดีด - กาเฟอีน 59 มิลลิกรัม มาตรฐานแต่อยากบอกว่าดีดตั้งแต่ดื่มเข้าปากอึกแรกแล้ว อารมณ์ตักผัดผักบุ้งเข้าปากแล้วโดนพริกนั่นแหละ รสชาติต่างจากความคาดหวังมากจนสะดุ้งตื่นกันเลยทีเดียว

สรุป - เห็นในฉลากเขียนว่ากาแฟกระป๋องนี้ผสมโครเมียมเลยงงว่าไอ้โครเมียมนี่มันอะไรกัน
เซิจหาดูพบว่ามันช่วยเรื่องการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้
(อ้างอิง คห.ที่ 17 : http://www.chemtrack.org/Board-Detail.asp?TID=0&ID=20)

ถ้าต้องการกินเพื่อควบคุมน้ำนักและหายง่วง
เพรียวกระป๋องนี้ทานได้ครับแต่ต้องซดรวดเดียวหมดนะ
เพราะผมมีปัญหากับรสชาติของมันสุดๆ
หลังจากดื่มจนหมดแก้วแล้ว ขอบอกจากใจจริงเลยว่า

นี่มันไม่ใช่กาแฟลดน้ำหนักหรอกครับ
...มันเป็นเครื่องดื่มลดน้ำหนักรสกาแฟต่างหาก!!

วันเสาร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ผมเป็นแฟนตัวยงของ http://zenpencils.com/
นักวาดการ์ตูนที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อ่านได้มหาศาล
หลายเรื่องที่เค้าวาดมีค่ามากจนอดไม่ได้ที่อยากจะให้คนอื่นได้อ่านด้วย
ติดอย่างเดียวตรงที่มันเป็นภาษาอังกฤษ ...ของยาวๆเป็นไทยยังอ่านกันยาก
หาแปลไทยก็ไม่มี เลยตกลงใจว่า แปลเองก็ได้ฟะ(ฮา)

เพื่อไม่ให้หลุดจากบล็อคกาแฟขอให้ท่านผู้อ่านชงกาแฟร้อนๆมาซักแก้ว
แล้วไล่อ่านไปเรื่อยๆ หลังจากอ่านจบแล้ว กาแฟในมือท่านอาจเย็นลง
...แต่ไฟในใจของท่านอาจร้อนรุ่มขึ้นมาแทน

ยินดีต้อนรับ Alan Watts
-อะไรคือความปรารถนาของคุณ?
-อะไรคือสิ่งที่กวนใจคุณอยู่?
-อะไรคือสถานการณ์ที่คุณต้องการในชีวิต?

ผมถามคำถามเหล่านี้กับนักเรียนแลกเปลี่ยนในชั้นบ่อยมาก
และคำตอบส่วนมากที่ผมได้รับก็คือ

"เอ่อ คือ ก็ต้องเรียนให้จบก่อน
ส่วนอนาคตหลังจากนั้นผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะทำอะไร"

และผมก็จะถามคำถามต่อไปนี้เสมอ

"คุณอยากจะทำอะไร ถ้าเรื่องเงินไม่ใช่ประเด็น"
"คุณจะใช้ชีวิตอย่างไร ถึงจะมีความสุขกับชีวิตอย่างแท้จริง"


มันน่ามหัศจรรย์มากในผลลัพธ์ของระบบการศึกษาของเรา
เด็กๆต่างพูดถึงความฝันของตนออกมา

"หนูอยากเป็นศิลปิน"
"ผมอยากเป็นกวี"
"ผมอยากเป็นนักเเขียน"
"หนูอยากใช้ชีวิตในชนบทแล้วก็ขี่ม้าไปเรื่อย"

"แต่ใครๆก็รู้ว่าเราไม่สามารถหาเงินจากการทำตามใจเราได้"

เมื่อเรามาถึงข้อสรุปของการสนทนา
และหากมีใครยืนยันที่อยากจะทำตามความฝันจริงๆ
ผมจะบอกกับเค้าว่า

"ไปทำมันเลย"
"และลืมเรื่องเงินไปซะ"

เพราะถ้าคุณพูดว่าการหาเงินคือสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตแล้ว

คุณกำลังใช้เวลาของชีวิตไปอย่างเปล่าประโยชน์

คุณต้องทำสิ่งที่คุณไม่ชอบเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ไปวันๆ

การที่ต้องทำในสิ่งที่ไม่อยากทำไปตลอดชีวิต นั่นแหละ...


...คือสิ่งที่โง่เขลา!


การมีชีวิตสั้นๆที่เต็มไปด้วยสิ่งที่เราอยากจะทำ
ย่อมดีกว่าการมีชีวิตนิรันดร์ที่ต้องทนอยู่อย่างทรมาน


และสุดท้าย ถ้าคุณได้ทำสิ่งที่คุณอยากจะทำจริงๆแล้ว
มันไม่สำคัญหรอกว่าคุณจะทำอะไร

เราจะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขานั้นๆ
หนทางเดียวที่จะเป็นมืออาชีพในสาขาใดๆก็ตามเราต้องอยู่กับันให้นานเจ้าไว้

และเมื่อวันนั้นมาถึง คุณก็สามารถหารายได้จากวิ่งนั้นได้ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม

เพราะฉะนั้นมันถึงสำคัญมาก ที่เราต้องพิจารณาคำถามนี้อย่างลึกซึ้ง...

"เราปรารถนาอะไร?"


+++

คลิปเสียงสามารถฟังได้จากลิ้งค์นี้ครับ


Alan Watts: What do you desire? from Omer K. F. on Vimeo.


วันศุกร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2556

วันที่ 25 ที่ผ่านมาได้มีโอกาสเจอกับโปรโมชันลดราคาของ Black Canyon
เอสเปรสโซ่แต่เดิมที่ราคา 70 บาทมาวันนี้ลดเหลือแค่ 55 บาทมันก็ต้องจัดกันหน่อย
ว่าแต่ทำไมภาพโปรโมชั่นมันไม่เหมือนเอสเปรสโซ่เลยหว่า?


สีสัน - มันไม่ใช่อ่ะกิ๊ฟ มันม่ายยยยช่ายยยยยย
นี่ไอ้ภาพในโปรโมชันนี่่มันถูกแล้วใช่ไหม เอสเปรสโซ่โลกใบนี้มีสีอย่างงี้จริงดิ
แต่เดี๋ยวก่อนนะ เอสเปรสโซ่เย็นมันมีด้วยเหรอ?
ถ้าจำไม่ผิดเอสเปรสโซ่มันต้องร้อนๆดิ จะหนึ่งชอทหรือสองชอทก็ว่ากันไป
หลังจากเซิจกูเกิ้ลก็เลยถึง"บางอ้อ"ทันที

เอสเปรสโซ่เป็นชื่อที่ทำให้คนดื่มรู้สึกว่ามันเข้มที่สุด มันน่าจะดีดที่สุด
แต่ปัญหาคือรสชาติของมันที่เปิดตลาดได้ยาก ขายได้ยาก
คือนึกภาพออกไหม ชื่ออ่ะน่ากิน ฟังแล้วหายง่วง แต่รสชาติมันยากที่คนทั่วไปจะลองไหว
ดังนั้นจึงมีการผสมนมและน้ำตาลลงไปทำให้เอสเปรสโซ่เย็น
...มีสีสันไม่ต่างไปจากคาปูชิโน่เลยทีเดียว


รสกลิ่น - ปกติเครื่องดื่มเย็นมักจะมีกลิ่นออกมาน้อยกว่าเครื่องดื่มร้อนอยู่แล้ว 
เอสเปรสโซ่เย็น(จะเรียกคาปูชิโน่เย็นแทนก็เกรงใจ) แก้วนี้มีกลิ่นกาแฟเข้มอยู่เหมือนกันนะ
แต่มันซ่อนอยู่ลึกเหมือนพยายามดมกลิ่นช๊อกโกแลตจากมาร์ชเมลโล่ยังไงยังงั้นเลย
ถ้านึกไม่ออกลองไปซื้อไมล์ดี้มาดมดูก็ได้ จะเห็นภาพได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

รสชาติ - เอสเปรสโซ่ เอสเปรสโซ่วววว เอสเปรสโซ่วววววว กุไปหนายยยยยย (ทำหน้าจาพนม)
นี่มันคาปูชิโน่ที่เพิ่มกาแฟเข้มขึ้นชัดๆ สิ่งที่เอ่อล้นจากของเหลวในแก้วที่ไหลผ่านหลอดเข้าไปในปาก
มันช่างเปี่ยมล้นไปด้วยนมและน้ำตาล เหมือนสึนามินมน้ำตาลพัดผ่านลิ้นไปเหลือซากปรักหักพังของรสกาแฟคล้อยหลัง หากอยากได้รสและกลิ่นกาแฟมากกว่านี้ห้ามดื่มแบบธรรมดา ดูดแบบจ๊วบๆไม่ได้ ต้องดื่มไปอมกาแฟไว้ที่โคนลิ้นไปนั่นละถึงจะได้ความเป็นกาแฟเอาเปรสโซ่กลับมาบ้าง

เมนูนี้พูดยากเรื่องรสชาติ เอาเข้าจริงแล้วมันอร่อยนะ มันเป็นรสชาติของคาปูชิโน่ที่ไม่มีฟองนมข้างบนและ(น่าจะ)เพิ่มกาแฟสดเข้าไปให้มากกว่าคาปูชิโน่ กล่าวคือถ้าอยากกินคาปูชิโน่ที่เข้มกาแฟมากขึ้น การสั่งเอสเปรสโซ่เย็นแก้วนี้ถือเป็นความคิดที่ดี แต่ถ้าความตั้งใจจริงคืออยากกินกาแฟขมๆเข้มๆสีดำสนิท สั่งเอสเปรสโซ่ร้อนจะตรงประเด็นกว่าครับ

ความดีด - เอาเปรสโซ่เย็นแก้วนี้ถือว่าดีดได้ในระดับกาแฟสดทั่วไปและดีดแรงกว่าลาเต้กับคาปูชิโน่นิดนึง(เป็นความมโนส่วนตัว) อาจเพราะชื่อเอสเปรสโซ่มันทำให้เรารู้สึกไปเองด้วยมั้งว่ามันน่าจะเข้มกว่า คาเฟอีนเยอะกว่าเลยรู้สึกดีดๆ(ฮา)


สรุป - เอสเปรสโซ่เย็นแก้วนี้มันคือคาปูชิโน่เอ้อ เป็นขั้นกว่าของคาปูชิโน่ที่มีกาแฟมากขึ้น หากต้องการความดีดแบบหวานลิ้น มีนมคล่องคอช่วงที่ขับรถเดินทางปีใหม่ ถ้าเจอแบล็คแคนยอนในปั๊มในห้าง  เอสเปรสโซ่โปรโมชั้น 55 บาทแก้วนี้ถือว่าคุ้มค่าครับ ซื้อได้เลย

วันพฤหัสบดีที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ตอนแรกว่าจะรีวิวกาแฟเอสเพรสโซ่ที่ไปกินมาเมื่อวาน
แต่เห็นสถานการณ์ในเมืองไทยตอนนี้แล้ว
ขอเล่าเรื่องหนึ่งที่น่าจะให้แง่คิดดีๆกับพวกเราได้บ้าง
อารมณ์ง่ายๆ สบายๆเหมือนนั่งคุยกันในร้านกาแฟ
...ไม่ซีเรียสและไม่ต้องจดเลคเชอร์ครับไม่ต้องกลัว



สงครามกลางเมืองอเมริกาเป็นเรื่องที่ไม่มีสอนในวิชาสังคมเมืองไทยมากเท่าไหร่
ประวัติศาสตร์ของชาติอื่นๆรอบโลกในหนังสือสังคมของเรานั้นมีน้อยมากจนแทบจะนับบรรทัดได้
แล้วสงครามกลางเมืองของอเมริกามันสำคัญตรงไหน ทำไมเราถึงควรรู้ไว้ด้วย?

ถ้าจะให้ตอบแบบโลกสวย เราจะได้ไม่ทำผิดพลาดซ้ำรอยเค้า
แต่ถ้าตอบแบบโลกแห่งความเป็นจริง เราจะได้รู้ฉากจบของหลายๆเรื่องในปัจจุบันล่วงหน้า
จะได้หาทางหนีทีไล่ได้ เพราะมนุษย์เราเป็นสัตว์ที่ทำผิดผลาดซ้ำรอยเดิมเสมอ 
...ไม่ว่าจะที่ไหนบนโลกก็ไม่ต่างกัน

สงครามกลางเมืองของอเมริกามีที่มาจาก"ความขัดแย้ง"ของคนในชาติ
ฝั่งอเมริกาเหนือที่ทำอุตสหากรรมเป็นหลักต้องการเลิกทาสเพราะเห็นว่า
ทาสเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง มนุษย์ทุกคนควรมีความเท่าเทียมกัน
แต่ฝ่ายใต้ไม่เห็นด้วย เพราะทาสเป็นแรงงานทางการเกษตรชั้นเยี่ยม
ถ้าเลิกไปแล้วจะเอาใครที่ไหนมาทำ อีกทั้งทางเองก็ควรมีสภาพไม่ต่างจากสิ่งของ
ที่สามารถซื้อมา ขายไป ใช้งานอย่างไรก็ได้เหมือนกับสัตว์หรือรถยนตร์นั่นเอง


อเมริกาฝ่ายเหนือบอกว่า ทาสเป็นการริดรอนสิทธิเสรีภาพของมนุษย์ เราต้องเลิกทาส
อเมริกาฝ่ายใต้บอกว่า สิ่งของจะไปมีสิ่ทธิ์เหมือนมนุษย์ได้อย่างไร? เราไม่ยอม
ความรุนแรงจึงเริ่มก่อตัวขึ้น เพราะถ้าอิงตามหลักกฏหมาย
"รัฐบาลที่มีเสียงข้างมากก็ย่อมชนะ" และต้องเลิกทาสอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หลายรัฐที่ต้องการจะมีทาสไว้ใช้งานจึงแยกออกมาจากรัฐบาลกลาง
แล้วรวมตัวกันก่อตั้ง "สมาพันธรัฐอเมริกา" ขึ้น "เพื่อรักษาอำนาจและผลประโยชน์ของตนไว้"

เมื่อมีการแยกตัวออกไปซึ่งถือว่าเป็นการทำผิดกฏหมายของประเทศข้อหา"กบฏ"อย่างชัดเจน
รัฐบาลกลางจึงยอมไม่ได้ และประชาคมโลกในตอนนั้นก็ไม่มีใครยอมรับสมาพันธรัฐนี้ด้วย

สงครามเริ่มขึ้นในวันที่ 12 เมษายน ค.ศ.1861 (พ.ศ.2404 สมัยรัชกาลที่ 5 ในเมืองไทย)
เมื่อกองทัพสมาพันธรัฐโจมตีที่ตั้งทหารสหรัฐที่ฟอร์ตซัมเตอร์ในเซาท์แคโรไลนา 
ประธานาธิบดีลินคอร์นเรียกร้องให้กองทหารอาสายึดทรัพย์สินของรัฐบาลกลางคืน
เหตุการณ์นี้ทำให้มีอีกสี่รัฐไม่พอใจและแยกตัวออกไปร่วมกับสมาพันธรัฐเพิ่มขึ้น




ดาวแต่ละดวงในธงชาติของอเมริกาคือจำนวนรัฐที่มี
ในช่วงนั้นธงชาติอเมริกาเหลือดาวเพียง 35 ดวง
ส่วนธงข้างล่างคือธงของสมาพันธรัฐ ที่มีดาวทั้งสิ้น 13 ดวง ห้ำหั่นกับ 35 ดวงข้างบน

รายละเอียดว่าใครฆ่าใคร ที่ไหน อย่างไร ยิบย่อยนั้นไม่ใช่ประเด็น
"ประเด็นคือความแตกแยกก่อให้เกิดสงครามที่กินเวลานานถึง 4 ปี
และมีคนตายในสงครามครั้งนี้มากกว่า 5 แสนคน"


บทเรียนจากประวัติศาสตร์ครั้งนั้นบอกกับเราว่า
"หากข้อขัดแย้งบนกระดาษ ไม่สามารถหาข้อยุติบนกระดาษได้
มันจะถูกย้ายลงมาในสนามรบ"
"เมื่อใดก็ตามที่เราไม่มีกติกาที่ยอมรับร่วมกันได้
เมื่อนั้นสงครามและความรุนแรงจะกลายเป็นกติกาใหม่โดยอัตโนมัติ"


ลึกๆแล้วเราต่างรู้ดีว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองไทยนี่ไม่มีทางจบง่ายๆ
ถ้าคุณสุเทพตั้งสภาประชาชนได้จริงเสื้อแดงก็ไม่ยอม
ถ้าเลือกตั้งผ่านพ้นตั้งรัฐบาลได้ กปปส.ก็ไม่ยอม
เมื่อต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกัน และไม่มีกติกาที่ยอมรับได้
คุณว่า เรื่องทั้งหมดนี้จะดำเนินไปยังทิศทางไหนต่อ?

กาแฟหมดแก้วพอดี และ ทางออกก็คงไม่มี เพราะอย่างที่บอกไว้
วันนี้แค่มานั่งจิบกาแฟชวนคุยกันเฉยๆ
ผมไม่ได้พิมพ์บทความนี้ขึ้นเพื่อสนับสนุนทั้งรัฐบาลหรือกปปส.
ผมแค่อยากชงกาแฟจากกาน้ำร้อนๆ
ดูข่าววันปีใหม่อย่างชื่นมื่นกับครอบครัวในวันหยุดยาว

มากกว่าจะจิบกาแฟในวันปีใหม่
...ดูคนไทยฆ่ากันเอง



















วันอังคารที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556

กาแฟดำกระป๋องหรือกาแฟที่มีน้ำตาลน้อย ถือเป็นกาแฟที่หาได้ยากมาก เพราะส่วนใหญ่จะจัดหนัก จัดเต็ม นม ครีม น้ำตาลกันหมด แต่นมครีมน้ำตาลนิยมทั้งหลายคงไม่ใช่สาเหตุที่ผู้บริโภคเลือก Birdy Pure Black กระป๋องนี้แน่ๆ เพราะจุดเด่นของเจ้านี่อยู่ที่ความน้อยของน้ำตาลที่มีเพียง 2%เท่านั้น และไม่มีครีมเจือปนอยู่เลยแม้แต่มิลลิกรัมเดียว


สี - ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า ดำบริสุทธิ์ไร้การเจือปน สีของกาแฟจึงดำเข้มให้อารมณ์เดียวกับ Espresso ที่คอกาแฟนิยมกัน สีดำเข้มขนาดนี้ให้อารมณ์รุนแรงบาดคอจนหลายคนไม่กล้าลอง แต่จะเป็นอย่างภายนอกที่เห็นหรือไม่นั้น เราต้องมาดูกันต่อไป


กลิ่น - เทกาแฟใส่แก้วสูดหายใจเต็มปอดแล้วได้สัมผัสขมนิดๆติดที่เยื่อบุโพรงจมูกภายใน พอหายใจออกก็มีกลิ่นหวานที่ซ่อนอยู่คลายตัวออกมา ดมด้วยจมูกอาจยังไม่ได้กลิ่นชัดเจนมากนัก ต้องลองชิมดูถึงจะรู้ว่ากลิ่นที่ได้มันเป็นที่สุดแล้วหรือมีอะไรซ่อนอยู่มากกว่านั้น

รส -  คำว่า Pure Black ที่โชว์หราอยู่ที่หน้ากระป๋อง เล่นเอากลัวจนหัวหด แรกๆไม่กล้าลองเพราะกลัวจะขมมากแบบเอสเพรสโซ่ ที่ไหนได้กลับขมน้อยกว่าที่คิดไว้เยอะ เมื่อจิบจะได้รสขมกลมกล่อมผสานกับความหวานที่ทำให้รสชาตินุ่มนวลไม่ดุดันจนเกินไป ได้อารมณ์ของหนุ่มผิวเข้ม หน้าโหด ไว้หนวดเครา แต่ตัวจริงสุภาพเรียบร้อยผิดกับหน้าตา เมื่อดื่มจนหมดอึกแล้วพักยังได้กลิ่นเข้มๆของกาแฟดำฟุ้งออกมาอีกนิด แต่ไม่ได้หอมระดับกาแฟสดนะ ...มันแค่ 13 บาทเอง

ดีด - คาเฟอีน 85 มิลลิกรัมต่อ 100 มิลลิลิตรไม่ใช่เรื่องตลก กระป๋องนี้ 180 มิลลิตร คาเฟอีนจึงสูงเหยียบ 150 มิลลิกรัม ถ้าซดแก้งัวเงียแบบรวดเดียวหมด มันก็คงไม่ต่างจากแม่บ้านที่ขลุกอยู่กับผ้าห่มในเช้าหน้าหนาวไม่อยากตื่น เจอคุณพ่อบ้านผิวเข้มหน้าคมที่อดอยากมากว่า 15 วันพุ่งเข้าใส่โดยไม่มีการโหมโรงให้เสียเวลา จัดเต็มทีเดียวสะดุ้งตื่น!! ...หมายถึงขย่ม เอ้ย เขย่าให้ตื่นไปทำข้าวเช้าอะไรแบบนี้นะ อย่าคิดลึก(ฮา) 

สรุป - หากชอบกาแฟเข้มๆแต่หากาแฟสดกินไม่ได้ Birdy Pure Black ใช้แทนได้ ทั้งรสชาติและความดีด
และด้วยแคลลอรี่ที่ร่อยเรี้ยมากเพียง 30 kcal มันจึงเป็นกาแฟที่เหมาะกับการลดน้ำหนักอีกด่้วย 


วันเสาร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2556


ซื้อมาเมื่อวาน ชิมไปแล้วสองแก้ว ตั้้งใจกินเพื่อรีวิวหนึ่งแก้ว 
ก่อนรีวิวได้แปรงฟัน ขากเสลด ดื่มน้ำเปล่า พักลิ้น 30 นาทีแล้วเป็นที่เรียบร้อย
กาแฟชงด้วยน้ำร้อนจัด คนจนเข้ากันดี ทิ้งไว้ให้นิ่ง 30 วิแล้วดื่ม
เริ่มกันเลยดีกว่า

สี - สีของกาแฟไม่ได้ต่างจากกาแฟสำเร็จยี่ห้ออื่นๆเป็นพิเศษ ผิวหน้าเรียบราบเป็นบึงกาแฟ ไม่มีฟองครีมลอยขึ้นมา ตามความตั้งใจของผู้ผลิตที่จะให้มันเป็นกาแฟสูตรเข้มข้นที่ลดครีมลงเพิ่มเนื้อกาแฟให้มากขึ้น ส่วนผสมทำออกมาได้ละเอียดดี ชงไม่นานก็ละลายหมด ไม่เป็นตะกอนน้ำตาลหรือผงกาแฟไปกองที่ก้นแก้ว

กลิ่น - พยายามสูดหายใจเข้าเต็มปอดอยู่เป็นนาทีจนไอน้ำแทบแทรกเข้าไปในถุงลมปอดจนแทบจะเป็นปอดบวม  พบว่ากลิ่นกาแฟไม่ได้เด่นไปกว่ากลิ่นของครีมและน้ำตาลซักเท่าไหร่ ดูจะไม่สมศักดิ์ศรีของคำโฆษณาที่ว่าเป็นกาแฟสูตรเข้มข้นเอาซะเลย ให้ฟีลเดียวกับขึ้นเขาจะไปดูทิวเขาที่เขียวขจีแต่เทวดาดันประทานทะเลหมอกมาให้ ไอ้สวยก็มีบ้าง แต่มันไม่ใช่สิ่งที่เราอยากเจอนี่สิ

รส - แม้จะเป็นสุตรเข้มข้น แต่รสขมของกาแฟและรสหวานของน้ำตาลกลับไม่ได้มีความแตกต่างกันมาก ออกจะค่อนไปทางหวานเสียด้วยซ้ำ ความมันของครีมเทียมที่น่าจะทำให้รสชาติกลมกล่อมกลับทำให้รสชาติ"กำกวม"แทน จะขมก็ไม่ขม จะหวานก็ไม่หวาน เหมือนเวทีคอนเสิร์ตที่มีพี่หนวดร้องเพลงเพื่อชีวิตไปเนิบๆ คลอกับเด็กวัยรุ่นร้องเพลงรักป๊อปๆแบบไร้อารมณ์ โดยมีหางเครื่องใส่ชุดม่อฮ่อมเต้นลีลาศเป็นแบ๊คกราวน์ ภายใต้โคมไฟสลัวๆ เป็นโชว์ที่แปลกตาแปลกลิ้นแต่ยากที่่จะทำให้ลูกค้าประทับใจ และกลับมาดูโชว์ใหม่ในภายหลัง

ดีด - แก้ง่วงได้ในระดับดึงขนจมูกสองเส้นทุกๆ 30 นาที เป็นเวลา 2 ชม. ความดีดนี้เป็นสิ่งเดียวที่สมกับคำว่าเข้มข้นหน้าซอง ถ้าหวังจะหากาแฟที่ดีดให้หายง่วงราคาไม่แพง กาแฟ Owl ยี่ห้อนี้ไว้ใจได้อยู่

สรุป - กินแก้ง่วง ไม่แคร์รสชาติ ซื้อแจกคนงาน แถมฟรีตามโรงแรม โอเคเลย








เนสกาแฟที่กินประจำพึ่งหมดไปเลยได้โอกาสหาเรื่องไปเสียเงินที่ห้างด้วยข้ออ้างว่า
"ไม่มีกาแฟทำงานไม่ด้ายยยย"

การซื้อกาแฟช่วงนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เนื่องจากกาแฟสำเร็จที่วางขายตามห้างนั้น
มักจะแถมแก้วเป็นของสมนาคุณให้ลูกค้า ...จริงๆคือเอามาล่อนั้่นแหละ แต่ยังคงราคาเดิม
เมื่อจ่ายเท่าเดิมแล้วได้แก้วเพิ่ม ทีนี้ก็ได้ข้ออ้างอีกข้อในการเสียเงินเป็นที่เรียบร้อย


Owl กาแฟปรุงสำเร็จแบรนด์นกฮูก เป็นอะไรที่ไม่เคยลิ้มลองมาก่อน
ตอนแรกว่าจะสอยยี่ห้ออื่นที่แถมแก้ว ดูไปดูมายี่ห้อนี้ก็แถมแก้วเหมือนกัน
เพียงแต่แก้วเป็นแก้วพลาสติกกันคความร้อนแบบที่โชว์อยู่หน้าซอง
ไม่ใช่่แก้วมีหูแบบที่ยี่ห้ออื่นชอบแถมกัน



แพคนี้มีทั้งสิ้น 27 ซอง ราคา 99 บาท เฉลี่ยซองละไม่ถึง 5 บาท
นับว่าถูกกว่านิดหน่อย เมื่อเทียบกับการซื้อกาแฟซองตามร้านขายของชำทั่วไป
สูตรที่ขายเท่าที่เห็นมีอยู่ 3 สูตร คือดั้งเดิม หอมมัน และ เข้มข้น
จขบ.เป็นคนขี้ง่วงเลยต้องขอจัดแบบเข้มข้นไปเลย

หน้าตาของซองกาแฟด้านใน โลโก้น่ารักสุดตั้งแค่เคยเห็นมา


เรื่องของพลังงานถือว่าใกล้เคียงกับยี่ห้อทั่วไปซองนึง 90 กิโลแคลอรี่
เป็นพลังงานที่มาจากน้ำตาลเสียครึ่งซอง 48.4%
...ถ้าไม่มีน้ำตาลมันก็ขาดพลังงานที่จะมายกหนังตาขึ้นน่ะนะ
และมีกาแฟผงเป็นส่วนประกอบ 11.8% ลองกินดูแล้วก็เด้งดีอยู่เหมือนกัน



และแน่นอน เรื่องแก้วเป็นอะไรที่ไม่พูดไม่ได้
ทำออกมาได้มาตรฐานตามสไตล์ของแถมทั่้วไป
แต่พลาสติกดูบอบบางมาก เห็นแล้วไม่กล้าเอามาชงกาแฟร้อนเลย
ยังดีที่ฝาปิดมีเกลียวแน่นหนาพร้อมฝาจุก
ทำให้พอจะวางใจเอามาใส่กาแฟเย็นเวลาทำงานได้บ้าง
เพราะพลาสติกที่หุ้มไว้ น่าจะช่วยให้แก้วไม่แฉะไอน้ำเหมือนแก้วทั่วไปๆ 

สรุป - รสชาติกาแฟถือว่ารับได้ ไม่ได้เลิศเลอแต่ก็ไม่ได้แย่
แต่ค่อนข้างผิดหวังกับของแถมพอสมควร
(99 บ่าทเองนี่ จะเอาอะไรมากมาย)
เป็นแก้วที่แถมมากับกาแฟชงแท้ๆ แต่ใช้ชงกาแฟร้อนไม่ได้ - -"
ไอ้ครั้นจะเอามาประดับบ้านลายก็ไม่ได้สวยน่าโชว์เลย
ว่าแล้วคงโยนแก้วเข้าลังหรือไม่แจกชาวบ้านแน่ๆ

ปล.ถ้าคอมเม้นท์ ครบ 10 จับสลากแจกนะเออ(ฮา)







( ๐ω๐)ノ อ่ะครับออฟคอฟฟี่ © 2013 | Powered by Blogger | Blogger Template by DesignCart.org