Slide 1 Title Here

This is slide 1 description - Designcart.org

Slide 2 Title Here

This is slide 2 description - Designcart.org

Slide 3 Title Here

This is slide 3 description - Designcart.org

Slide 4 Title Here

This is slide 4 description - Designcart.org

วันจันทร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2557



ในปี  2014 ภาพลักษณ์ของการนอนกลางวันดูไม่ค่อยดีนัก ในวัฒนธรรมการทำงานเป็นเครื่องจักรไปจนกว่าจะพังหรือตายห่ากันไปข้าง คนนอนกลางวันมักจจะมาพร้อมอิมเมจของคนขี้เกียจ ไร้ประสิทธิภาพ ไม่รู้จักจัดการเวลาหลับเวลานอนของตัวเอง

สิ่งหนึ่งที่ผมจะขอหักหลังคนอ่านก็คือผมคงไม่เอาหลักฐานหรืองานวิจัย เรื่องการนอนกลางวันเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน มาเป็นหลักฐานเพื่อเอาไปบอกเจ้านายเวลาเค้ามาเห็นคุณนอนกลางวันหรอกครับ หลักฐานแบบนั้นหาได้มีความจำเป็นแต่อย่างใด มนุษย์เราไม่ใช่เครื่องจักรผลิตงานที่ต้องทำตัวให้ดูเหมือนขยันตลอดเวลาแม้จะไม่มีผลงานออกมาก็ตาม

เรานอนกลางวันเพราะเราง่วง เหตุผลเดียวกับที่เรากินเพราะรู้สึกหิวนั่นแหละ ไม่มีความจำเป็นใดๆที่ต้องเอาเรื่องประสิทธิภาพในการทำงานมาเป็นเหตุผลของการนอนกลางวัน

การนอนกลางวันมันดีกับตัวเราเอง เป็นสิ่งที่ควรทำทุกครั้งถ้ามีโอกาส



อย่าไปบ้าตามหนังสือสร้างแรงบันดาลใจหรือฮาวทูที่บอกว่าคนเก่งๆในประวัติศาสตร์ต้องนอนน้อยๆเลยครับ ยิ่งไอ้ที่บอกว่านักประดิษฐ์บางคนนอนวันละ 4 ชม.นี่ยิ่งแล้วใหญ่ ถามจริงเถอะครับถ้าจะดี เด่น ดังได้ต้องนอนน้อยๆอย่างนั้นจริง แปลว่าไอ้พวกที่เก่งๆทั้งโลกนี่ไม่มีใครนอนเยอะเลยสิ?

การนอนน้อยนอนเยอะไม่ได้เกี่ยวข้องกับความสำเร็จหรือความเด่นดังอะไรแน่ๆครับ
พอๆกับไอ้เด็กที่แดกวัวทั้งชีวิตไม่ได้โง่ไปกว่าเด็กที่แดกหัวปลาตั้งแต่หย่านมแม่นั่นละ
เรื่องบางเรื่องไม่ได้เกี่ยวข้องกันทางตรรกกะเลย เราเอามาโยงกันไม่ได้หรอก

ทำไมผมถึงพยายามบอกว่าการนอนกลางวันเป็นเรื่องที่ดีนักหนา?

เพราะผมเชื่อว่าสิทธิ์ในการนอนกลางวันถูกพรากออกไปจากพวกเราทุกคนอย่างโหดร้าย ด้วยปรัชญาการทุ่มเททำงานให้ตายกันไปข้าง เรามีสิทธิอันชอบธรรมที่จะนอนกลางวันอย่างน้อยหลังอาหารเที่ยงผมเชื่อว่าเราน่าจะหาเวลานอนได้ แต่เราไม่กล้านอนเพราะกลัวเสียภาพลักษณ์มากกว่า หากทำใจข้ามเรื่องนี้ไปได้เมื่อไหร่ ลองหาเวลางีบดูนะครับ

เราไม่ได้นอนกลางวันเพื่อจะได้ทำผลงานให้ดีขึ้น
เรานอนกลางวันเพื่อให้ชีวิตเรามีความสุขมากขึ้น
..ส่วนประสิทธิภาพการทำงานที่ดึขึ้นนั้นถือเป็นผลพลอยได้ต่างหาก

เชื่อผมเถอะครับ ถ้าคุณสามารถงีบตอนกลางวันอย่างน้อย 20 นาทีได้ทุกวันทำงานนะ ชีวิตการทำงานของคุณจะรื่นรมย์ขึ้นเยอะมาก คิดดูสิครับ ระหว่างคุณรู้ว่าวันนี้ต้องทำงานยิงยาว 8 ชม.เลย กับ คุณรู้ว่า หลังจากทำงานไปแล้ว 4 ชม. คุณจะได้หลับซักงีบ แล้วค่อยทำงานต่ออีก 4 ชม. อย่างไหนจะสร้างแรงบันดาลใจในการทำงานให้คุณได้มากกว่ากัน?

หลับเสียก่อน ตื่นมาแล้วค่อยโซ้ยกาแฟเพื่อไปทำงานต่อก็ได้

Nap before it too late...
ซักงีบทุกวันเพื่อชีวิตครับ


วันจันทร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2557

งานนี้เขียนกันแบบไม่มีจิบกาแฟ
เหตุเพราะลำไส้อักเสบต้องเข้าโรงพยาบาลตอนเที่ยงคืนวานนี้
เรื่องราวที่จะเล่าเป็นเรื่องของความตะกละของเจ้าของบล็อคเอง
เป็นความตะกละที่ส่งผลเกือบถึงชีวิตกันเลยทีเดียว

เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาผมไปเดินเล่นในซุปเปอร์ของห้างดังแห่งหนึ่ง
พลันสายตาก็ประสบพบเจอกับชีสลดราคาแพ็คหนึ่งเข้า
ราคาของมันช่างยั่วยวนใจยิ่งนัก จาก 259 เหลือร้อยเดียว
ด้วยราคาที่ประหยัดไปกว่า 159 บาทจึงเป็นอะไรที่ยากจะปฏิเสธมากๆ



หยิบขึ้นมาดูวันหมดอายุ ฉลากเขียนเอาไว้ว่า
หมดอายุวันที่ 9 ต้องเอาออกจากเชลฟ์วันที่ 7
วันนั้นวันที่ 7 พอดี มีเวลากินอีก 2 วัน
คิดกำไรขาดทุนแล้ว ถ้ากินสองวันหมดก็ตกวันละ 50 บาทเอง
อย่ากระนั้นเลย รีบหยิบไปจ่ายตังค์ดีกว่า เดี๋ยวคนอื่นจะมาหยิบไปซะก่อน

...มาวันนี้อยากบอกว่า "โคตรคิดผิด"

ท้องผมมีอาการตุ่ยๆ คือมวนท้องหลังจากซัดชีสราคาไปได้สองวัน
แต่ก็ไม่ได้เกรงกลัวอะไร เพราะมีความเชื่อว่า
"สินค้าหมดอายุไม่น่าจะหมดกันแบบทันทีทันใด"
คือเชื่อว่าถึงสินค้าจะหมดอายุไปแล้ว แต่ถ้าแช่ตู้เย็นก็น่าจะกินได้อีกอย่างน้อย 2-3 วัน
เจ้าชีสที่หมดอายุในวันที่ 9 นี้ ผมกินเรื่อยไปจนถึงวันที่ 10
...แล้วหายนะก็มาเยือน

วันที่ 11 ผมถ่ายไม่ปกติ อุจจาระมีเริ่มเป็นมูก
แต่ด้วยร่างกายทีค่อนข้างแข็งแรงผมเลยปรึกษาเพื่อนเพื่อหายามากิน
อาการนี้คาดว่าอาหารเป็นพิษเลยซัด คาร์บอน ไปสองสามมื้อ
คิดว่าไม่น่าเกินพรุ่งนี้ก็หายแล้ว
...แต่มันไม่หายว่ะครับ

วันที่ 12 ตอน ห้าทุ่มกว่าผมนอนไม่หลับ มันปวดท้อง มวนท้องบิดไปบิดมา
พยายามข่มตานอนเป็นชม.ๆก็นอนไม่หลับ สุดท้ายรู้ตัวว่าไม่ไหว
เลยต้องคลานลงมาขอความช่วยเหลือจากแม่ให้เรียกแทกซี่ไปส่งรพ.

ถึงรพ.แล้วใช่ว่าจะได้พบหมอทันที คนไข้รายอื่นที่มาก่อนเราก็มี
ผมเลยต้องนั่งทุรนทุรายอยู่ที่เก้าอี้รอตรวจอยู่เป็นชม.
คือมันปวดท้องนะ แต่มันไม่ใช้ปวดแบบจะถ่ายอ่ะ มันปวดแบบทรมานอยู่ข้างใน
อดทนไม่ไหวเลยต้องไปขอเปลเพื่อนอนรอให้หมอมาตรวจ

หมอสาวแว่นซักถามอาการว่าเป็นยังไงบ้าง?
คุยกันไปคุยกันมาเลยสรุปว่าอาการนี้น่าจะเป็นลำไส้ติดเชื้อ
(ไม่กล้าเล่าที่มาให้หมอฟังเพราะอับอายมาก เพราะความตะกละแท้ๆ)
เพื่อลดอาการปวดท้องหมอเลยตัดสินใจว่าจะฉีดยาให้
ไอ้เราก็ดีใจ เพราะ ที่มาเนี่ยก็อยากได้ยาแรงๆไประงับอาการปวดเสียที
หมอแว่นเดินไปสั่งบุรุษพยาบาลว่าต้องทำอะไรบ้าง เราก็นอนรอ
พอบุรุษพยาบาลเดินมาเราก็หันก้นให้กะรอฉีดยาเต็มที่

...ว่าแต่น้องถือคัตตั้นบัตไซส์พี่บิ๊กมาทำไม?

คิดภาพตามนะครับ มันคือไม้เสียบลูกชิ้นที่มีสำลีพันไว้ที่หัว
มันคือคัตตั้นบัตยักษ์นั่นแหละ แต่เอามาทำไมครับ จะมาฉีดยาไม่ใช่เหรอ
น้องเค้าบอกว่า ต้องเอาตัวอย่างเมือกในลำไส้ไปเพาะเชื้อ
ด้วยการเอาไอ้เจ้าคัตตั้นบัตยักษ์อันนี้คว้านเข้าไปในรูตูด!!

บทสนทนาถัดจากนี้ไปมาจากเรื่องจริงเน้นๆ

"พี่ต้องนอนตะแคงครับ เดี๋ยวผมจัดการเอง"
"เอ้าๆ โอเคครับ"
"เจ็บหน่อยนะพี่ ทนนิดนึงนะ"
(มันเจ็บงั้นเลยเหรอวะ)

สัมผัสแรกคือไม้เสียบลูกชิ้นกระแทกเข้าที่ปลายกระดูกสันหลังอย่างแรง

"น้องๆนั่นไม่ใช่รูพี่"
"อ้าวโทษครับเอาใหม่นะ"
"โอ้วววววว นั่นก็ไม่ใช่ครับ มันต่ำไป" (ถ้าไถลไปอีกนิดคิดหว่าหำคงทะลุ)
"เอางี้น้องพี่ถ่างให้เองดีกว่า"

เวลานั้นหมดแล้วซึ่งความอาย
เอาสองนิ้วที่มีถ่างรูตูดให้คนแปลกหน้าชอนไชเข้ามาอย่างไม่ขัดขืน

"ปุะ ปะ ปู ปู้วววว ปู้วววววว"

ตอนแรกปวดท้องจนตัวงอเป็นกุ้ง
พอเจอคัตตั้นบัตยักแทงทะลุรูตูดเท่านั้นล่ะ
...สะดุ้งเป็นปลาแซลม่อนเลย

"อดทนนิดนะพี่"

น้องเค้าคว้านยังกะจะเอาเครื่องในผมออกมาทั้งยวง
ผมได้แต่กัดฟันกล้ำกลืนความเจ็บปวดเป็นเวลาเกือบสิบวินาที
พอน้องเค้าคว้านเสร็จแล้วเค้าก็ดึงออก
เวลานั้นผมสาบานว่า ผมโล่งใจเหมือนมีคนดึงมีดที่ปักรูก้นผมออกไปเลย
เท่านี้ก็จบ ผมจะได้ฉีดยาแล้วก็กลับบ้านซักที

"เดี๋ยวๆๆๆๆๆ" บุรุษพยาบาลอีกคนเดินเข้ามา
"เหลืองน้อยไป ไม่พอเพาะเชื่อ เอาใหม่อีกที"

...ไอ้เหรี้ยยยยยยยยย

+++

สรุปแล้วหลังจากผ่านการทรมานทรกรรมไปได้
นางพยาบาลก็ฉีดยาให้ที่มือขวาแล้วปล่อยผมกลับบ้าน
เรื่องนี้รับรองเลยว่าผมจะจำจนวันตาย
ต่อไปนี้จะไม่กินของใกล้หมดอายุอีกแล้ว

ท่านผู้อ่านที่ชอบเดินซุปเปอร์เห็นของลดราคาอย่าไปเสี่ยงนะครับ
เลี่ยงได้ให้เลี่ยงเลย เพราะถ้าเป็นอะไรมาไม่คุ้ม
เจ็บใจสุดนอกจากเสียเอกราชให้คัตตั้นบัตยักษ์แล้ว
อาการของลำไส้ทำให้ไม่สามารถกินกาแฟได้อีกเป็นอาทิตย์ๆนี่สิ
ไว้หายดีเมื่อไหร่ผมจะรีบกลับมาเขียนรีวิวกาแฟอีกครั้งนะครับ

...สัญญาเลย











วันจันทร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2557

สวัสดีปีใหม่ครับ
อ่านหัวข้อแล้วอย่าพึ่งตกใจว่า
"มาอ่าน บล้อคกาแฟ พูดเรื่องการออกกำลังกายทำไม?"

คืองี้ครับ กาแฟที่เรากินนี่ไม่ได้เป็นเอสเพรสโซ่ชอททุกรอบ
มันต้องมีลาเต้ คาปูชิโน่ กาแฟเย็น กาแฟชง ฯลฯ
และนั่นก็อุดมไปด้วยน้ำตาล นม ครีม รัวๆ
แถมบางครั้งมันก็มีเบเกอรี่แกล้มด้วยจริงไหมล่ะ?

เพื่อไม่ให้กินกาแฟแล้วพลุ้ย วันนี้เลยเอาเทคนิคการออกกำลังกายมาฝาก
ทั้งหมด 5 ข้อ สั้นๆ หวังว่าจะมีประโยชน์กันนะครับ

+++

1.อย่าผลัดวันประกันพรุ่ง ตั้งเป้าไว้แล้วต้องทำให้ได้
ผมเองเป้าไม่ใหญ่ครับ ขั้นต่ำขอเดินวันละ 5000 ก้าว
วิดพื้น 10*3 ยก กับsquat 10*3 ยก
ถ้าวันไหนมีเวลาจะแอโรบิคด้วย แต่เดินกับท่าพื้นฐานต้องทำทุกวัน


2.โยคะท่าง่ายๆ กินพื้นที่น้อย ดีต่อระบบประสาทและการหมุนเวียน


3.ดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว
 น้ำเย็นจะช่วยเผาผลาญพลังงานได้ดี
เพราะร่างกายต้องใช้พลังงานในการทำให้อุณหภูมิร่างกายกลับมาเป็นปกติ
และช่วยให้ร่างกายมีน้ำเลี้ยง ไม่คอแห้งมากไปเวลาออกกำลังหนักๆ

4.วิ่ง ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน 3 เทพแห่งการออกกำลังกายเบื้องต้น
กิจกรรมที่ต้องพาตัวเองมุ่งไปข้างหน้าเหล่านี้
ทำให้ออกซิเจนเข้าปอดเต็มที่ เราจะสดชื่นมากขึ้นด้วย

5.ไม่มีตังค์ไปยิม ไม่ใช่ปัญหา
ลองทำตามผังภาพนี้ดู








วันอาทิตย์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2556

หลังปีใหม่คงจะมีคนจำนวนไม่น้อยที่น้ำหนักเพิ่มขึ้นหลังจากปาร์ตี้สุดเหวี่ยงในช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา
ครั้งนี้เลยเลือกกาแฟยอดนิยมในหมู่คนลดน้ำหนักอย่าง"เพรียว"มารีวิว
ด้วยแคลลอรี่ที่น้อยมากแค่ 30 Kcal กินเพรียว 3 กระป๋อง
ก็พอๆกับกินกาแฟทั่วไปกระป๋องนึงหรือกาแฟชงหนึ่งแก้ว
เรื่องความผอมไม่มีข้อกังขา เป็นรองแค่ Birdy กาแฟดำให้พลังงาน 30 Kcal เท่านั้น
 ...แล้วเรื่องรสชาติละ?



สี - สีของกาแฟขาดความนวลของนมและครีมเทียม แต่ก็ว่าไม่ได้เพราะนี่เป็นกาแฟลดน้ำหนัก เราคงหวังความสวยงามน่าดื่มด่ำยาก อีกทั้งเวลากินส่วนมากก็กินจากกระป๋องอยู่แล้ว โดยความรู้สึกแล้วเหมือนสีจะเข้มกว่าท้องตลาดนิดๆด้วยซ้ำ แต่ในภาพนี่อัดแฟลชเยอะไปหน่อย



รสกลิ่น - จางมากทั้งกลิ่นของกาแฟและกลิ่นของนมสด เรียกว่าแทบไม่ได้กลิ่นเลยดีกว่า ถ้าอยากได้กลิ่นจริงจังต้องเทใส่แก้วให้หมดกระป๋องแล้วดมจากกลิ่นที่ฟุ้งอยู่ในกระป๋องแทน มีกลิ่มขมแปลกๆพอให้สัมผัสได้และอบอวลไปด้วยกลิ่นอะไรบอกไม่ถูกแต่ไม่คล้ายกลิ่นกาแฟเสียเท่าไหร่ ชวนให้รู้สึกถึงเนื้อหมูเจที่เหมือนเนื้อหมูเด๊ะแต่ทำจากแป้งยังไงยังงั้น

รสชาติ - "จาง" คือจำกัดความที่ดีที่สุด แทบไม่รู้สึกถึงเนื้อนมและกาแฟที่ผสมอยู่เลย อมแล้วอมอีกยังไม่กล้าพูดว่านี่ดื่มกาแฟอยู่หรือเปล่า ยังดีที่มีกลิ่นพอให้รู้ว่านี่เป็นกาแฟ ไม่กล้าเปรียบเทียบอะไรมากเดี๋ยโดนฟ้อง(ฮา) แต่ถ้ากินหวังรสช่าติขอบอกได้ว่าข้ามไปได้เลย

ความดีด - กาเฟอีน 59 มิลลิกรัม มาตรฐานแต่อยากบอกว่าดีดตั้งแต่ดื่มเข้าปากอึกแรกแล้ว อารมณ์ตักผัดผักบุ้งเข้าปากแล้วโดนพริกนั่นแหละ รสชาติต่างจากความคาดหวังมากจนสะดุ้งตื่นกันเลยทีเดียว

สรุป - เห็นในฉลากเขียนว่ากาแฟกระป๋องนี้ผสมโครเมียมเลยงงว่าไอ้โครเมียมนี่มันอะไรกัน
เซิจหาดูพบว่ามันช่วยเรื่องการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้
(อ้างอิง คห.ที่ 17 : http://www.chemtrack.org/Board-Detail.asp?TID=0&ID=20)

ถ้าต้องการกินเพื่อควบคุมน้ำนักและหายง่วง
เพรียวกระป๋องนี้ทานได้ครับแต่ต้องซดรวดเดียวหมดนะ
เพราะผมมีปัญหากับรสชาติของมันสุดๆ
หลังจากดื่มจนหมดแก้วแล้ว ขอบอกจากใจจริงเลยว่า

นี่มันไม่ใช่กาแฟลดน้ำหนักหรอกครับ
...มันเป็นเครื่องดื่มลดน้ำหนักรสกาแฟต่างหาก!!

วันเสาร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ผมเป็นแฟนตัวยงของ http://zenpencils.com/
นักวาดการ์ตูนที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อ่านได้มหาศาล
หลายเรื่องที่เค้าวาดมีค่ามากจนอดไม่ได้ที่อยากจะให้คนอื่นได้อ่านด้วย
ติดอย่างเดียวตรงที่มันเป็นภาษาอังกฤษ ...ของยาวๆเป็นไทยยังอ่านกันยาก
หาแปลไทยก็ไม่มี เลยตกลงใจว่า แปลเองก็ได้ฟะ(ฮา)

เพื่อไม่ให้หลุดจากบล็อคกาแฟขอให้ท่านผู้อ่านชงกาแฟร้อนๆมาซักแก้ว
แล้วไล่อ่านไปเรื่อยๆ หลังจากอ่านจบแล้ว กาแฟในมือท่านอาจเย็นลง
...แต่ไฟในใจของท่านอาจร้อนรุ่มขึ้นมาแทน

ยินดีต้อนรับ Alan Watts
-อะไรคือความปรารถนาของคุณ?
-อะไรคือสิ่งที่กวนใจคุณอยู่?
-อะไรคือสถานการณ์ที่คุณต้องการในชีวิต?

ผมถามคำถามเหล่านี้กับนักเรียนแลกเปลี่ยนในชั้นบ่อยมาก
และคำตอบส่วนมากที่ผมได้รับก็คือ

"เอ่อ คือ ก็ต้องเรียนให้จบก่อน
ส่วนอนาคตหลังจากนั้นผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะทำอะไร"

และผมก็จะถามคำถามต่อไปนี้เสมอ

"คุณอยากจะทำอะไร ถ้าเรื่องเงินไม่ใช่ประเด็น"
"คุณจะใช้ชีวิตอย่างไร ถึงจะมีความสุขกับชีวิตอย่างแท้จริง"


มันน่ามหัศจรรย์มากในผลลัพธ์ของระบบการศึกษาของเรา
เด็กๆต่างพูดถึงความฝันของตนออกมา

"หนูอยากเป็นศิลปิน"
"ผมอยากเป็นกวี"
"ผมอยากเป็นนักเเขียน"
"หนูอยากใช้ชีวิตในชนบทแล้วก็ขี่ม้าไปเรื่อย"

"แต่ใครๆก็รู้ว่าเราไม่สามารถหาเงินจากการทำตามใจเราได้"

เมื่อเรามาถึงข้อสรุปของการสนทนา
และหากมีใครยืนยันที่อยากจะทำตามความฝันจริงๆ
ผมจะบอกกับเค้าว่า

"ไปทำมันเลย"
"และลืมเรื่องเงินไปซะ"

เพราะถ้าคุณพูดว่าการหาเงินคือสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตแล้ว

คุณกำลังใช้เวลาของชีวิตไปอย่างเปล่าประโยชน์

คุณต้องทำสิ่งที่คุณไม่ชอบเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ไปวันๆ

การที่ต้องทำในสิ่งที่ไม่อยากทำไปตลอดชีวิต นั่นแหละ...


...คือสิ่งที่โง่เขลา!


การมีชีวิตสั้นๆที่เต็มไปด้วยสิ่งที่เราอยากจะทำ
ย่อมดีกว่าการมีชีวิตนิรันดร์ที่ต้องทนอยู่อย่างทรมาน


และสุดท้าย ถ้าคุณได้ทำสิ่งที่คุณอยากจะทำจริงๆแล้ว
มันไม่สำคัญหรอกว่าคุณจะทำอะไร

เราจะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขานั้นๆ
หนทางเดียวที่จะเป็นมืออาชีพในสาขาใดๆก็ตามเราต้องอยู่กับันให้นานเจ้าไว้

และเมื่อวันนั้นมาถึง คุณก็สามารถหารายได้จากวิ่งนั้นได้ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม

เพราะฉะนั้นมันถึงสำคัญมาก ที่เราต้องพิจารณาคำถามนี้อย่างลึกซึ้ง...

"เราปรารถนาอะไร?"


+++

คลิปเสียงสามารถฟังได้จากลิ้งค์นี้ครับ


Alan Watts: What do you desire? from Omer K. F. on Vimeo.


วันศุกร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2556

วันที่ 25 ที่ผ่านมาได้มีโอกาสเจอกับโปรโมชันลดราคาของ Black Canyon
เอสเปรสโซ่แต่เดิมที่ราคา 70 บาทมาวันนี้ลดเหลือแค่ 55 บาทมันก็ต้องจัดกันหน่อย
ว่าแต่ทำไมภาพโปรโมชั่นมันไม่เหมือนเอสเปรสโซ่เลยหว่า?


สีสัน - มันไม่ใช่อ่ะกิ๊ฟ มันม่ายยยยช่ายยยยยย
นี่ไอ้ภาพในโปรโมชันนี่่มันถูกแล้วใช่ไหม เอสเปรสโซ่โลกใบนี้มีสีอย่างงี้จริงดิ
แต่เดี๋ยวก่อนนะ เอสเปรสโซ่เย็นมันมีด้วยเหรอ?
ถ้าจำไม่ผิดเอสเปรสโซ่มันต้องร้อนๆดิ จะหนึ่งชอทหรือสองชอทก็ว่ากันไป
หลังจากเซิจกูเกิ้ลก็เลยถึง"บางอ้อ"ทันที

เอสเปรสโซ่เป็นชื่อที่ทำให้คนดื่มรู้สึกว่ามันเข้มที่สุด มันน่าจะดีดที่สุด
แต่ปัญหาคือรสชาติของมันที่เปิดตลาดได้ยาก ขายได้ยาก
คือนึกภาพออกไหม ชื่ออ่ะน่ากิน ฟังแล้วหายง่วง แต่รสชาติมันยากที่คนทั่วไปจะลองไหว
ดังนั้นจึงมีการผสมนมและน้ำตาลลงไปทำให้เอสเปรสโซ่เย็น
...มีสีสันไม่ต่างไปจากคาปูชิโน่เลยทีเดียว


รสกลิ่น - ปกติเครื่องดื่มเย็นมักจะมีกลิ่นออกมาน้อยกว่าเครื่องดื่มร้อนอยู่แล้ว 
เอสเปรสโซ่เย็น(จะเรียกคาปูชิโน่เย็นแทนก็เกรงใจ) แก้วนี้มีกลิ่นกาแฟเข้มอยู่เหมือนกันนะ
แต่มันซ่อนอยู่ลึกเหมือนพยายามดมกลิ่นช๊อกโกแลตจากมาร์ชเมลโล่ยังไงยังงั้นเลย
ถ้านึกไม่ออกลองไปซื้อไมล์ดี้มาดมดูก็ได้ จะเห็นภาพได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

รสชาติ - เอสเปรสโซ่ เอสเปรสโซ่วววว เอสเปรสโซ่วววววว กุไปหนายยยยยย (ทำหน้าจาพนม)
นี่มันคาปูชิโน่ที่เพิ่มกาแฟเข้มขึ้นชัดๆ สิ่งที่เอ่อล้นจากของเหลวในแก้วที่ไหลผ่านหลอดเข้าไปในปาก
มันช่างเปี่ยมล้นไปด้วยนมและน้ำตาล เหมือนสึนามินมน้ำตาลพัดผ่านลิ้นไปเหลือซากปรักหักพังของรสกาแฟคล้อยหลัง หากอยากได้รสและกลิ่นกาแฟมากกว่านี้ห้ามดื่มแบบธรรมดา ดูดแบบจ๊วบๆไม่ได้ ต้องดื่มไปอมกาแฟไว้ที่โคนลิ้นไปนั่นละถึงจะได้ความเป็นกาแฟเอาเปรสโซ่กลับมาบ้าง

เมนูนี้พูดยากเรื่องรสชาติ เอาเข้าจริงแล้วมันอร่อยนะ มันเป็นรสชาติของคาปูชิโน่ที่ไม่มีฟองนมข้างบนและ(น่าจะ)เพิ่มกาแฟสดเข้าไปให้มากกว่าคาปูชิโน่ กล่าวคือถ้าอยากกินคาปูชิโน่ที่เข้มกาแฟมากขึ้น การสั่งเอสเปรสโซ่เย็นแก้วนี้ถือเป็นความคิดที่ดี แต่ถ้าความตั้งใจจริงคืออยากกินกาแฟขมๆเข้มๆสีดำสนิท สั่งเอสเปรสโซ่ร้อนจะตรงประเด็นกว่าครับ

ความดีด - เอาเปรสโซ่เย็นแก้วนี้ถือว่าดีดได้ในระดับกาแฟสดทั่วไปและดีดแรงกว่าลาเต้กับคาปูชิโน่นิดนึง(เป็นความมโนส่วนตัว) อาจเพราะชื่อเอสเปรสโซ่มันทำให้เรารู้สึกไปเองด้วยมั้งว่ามันน่าจะเข้มกว่า คาเฟอีนเยอะกว่าเลยรู้สึกดีดๆ(ฮา)


สรุป - เอสเปรสโซ่เย็นแก้วนี้มันคือคาปูชิโน่เอ้อ เป็นขั้นกว่าของคาปูชิโน่ที่มีกาแฟมากขึ้น หากต้องการความดีดแบบหวานลิ้น มีนมคล่องคอช่วงที่ขับรถเดินทางปีใหม่ ถ้าเจอแบล็คแคนยอนในปั๊มในห้าง  เอสเปรสโซ่โปรโมชั้น 55 บาทแก้วนี้ถือว่าคุ้มค่าครับ ซื้อได้เลย

วันพฤหัสบดีที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ตอนแรกว่าจะรีวิวกาแฟเอสเพรสโซ่ที่ไปกินมาเมื่อวาน
แต่เห็นสถานการณ์ในเมืองไทยตอนนี้แล้ว
ขอเล่าเรื่องหนึ่งที่น่าจะให้แง่คิดดีๆกับพวกเราได้บ้าง
อารมณ์ง่ายๆ สบายๆเหมือนนั่งคุยกันในร้านกาแฟ
...ไม่ซีเรียสและไม่ต้องจดเลคเชอร์ครับไม่ต้องกลัว



สงครามกลางเมืองอเมริกาเป็นเรื่องที่ไม่มีสอนในวิชาสังคมเมืองไทยมากเท่าไหร่
ประวัติศาสตร์ของชาติอื่นๆรอบโลกในหนังสือสังคมของเรานั้นมีน้อยมากจนแทบจะนับบรรทัดได้
แล้วสงครามกลางเมืองของอเมริกามันสำคัญตรงไหน ทำไมเราถึงควรรู้ไว้ด้วย?

ถ้าจะให้ตอบแบบโลกสวย เราจะได้ไม่ทำผิดพลาดซ้ำรอยเค้า
แต่ถ้าตอบแบบโลกแห่งความเป็นจริง เราจะได้รู้ฉากจบของหลายๆเรื่องในปัจจุบันล่วงหน้า
จะได้หาทางหนีทีไล่ได้ เพราะมนุษย์เราเป็นสัตว์ที่ทำผิดผลาดซ้ำรอยเดิมเสมอ 
...ไม่ว่าจะที่ไหนบนโลกก็ไม่ต่างกัน

สงครามกลางเมืองของอเมริกามีที่มาจาก"ความขัดแย้ง"ของคนในชาติ
ฝั่งอเมริกาเหนือที่ทำอุตสหากรรมเป็นหลักต้องการเลิกทาสเพราะเห็นว่า
ทาสเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง มนุษย์ทุกคนควรมีความเท่าเทียมกัน
แต่ฝ่ายใต้ไม่เห็นด้วย เพราะทาสเป็นแรงงานทางการเกษตรชั้นเยี่ยม
ถ้าเลิกไปแล้วจะเอาใครที่ไหนมาทำ อีกทั้งทางเองก็ควรมีสภาพไม่ต่างจากสิ่งของ
ที่สามารถซื้อมา ขายไป ใช้งานอย่างไรก็ได้เหมือนกับสัตว์หรือรถยนตร์นั่นเอง


อเมริกาฝ่ายเหนือบอกว่า ทาสเป็นการริดรอนสิทธิเสรีภาพของมนุษย์ เราต้องเลิกทาส
อเมริกาฝ่ายใต้บอกว่า สิ่งของจะไปมีสิ่ทธิ์เหมือนมนุษย์ได้อย่างไร? เราไม่ยอม
ความรุนแรงจึงเริ่มก่อตัวขึ้น เพราะถ้าอิงตามหลักกฏหมาย
"รัฐบาลที่มีเสียงข้างมากก็ย่อมชนะ" และต้องเลิกทาสอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หลายรัฐที่ต้องการจะมีทาสไว้ใช้งานจึงแยกออกมาจากรัฐบาลกลาง
แล้วรวมตัวกันก่อตั้ง "สมาพันธรัฐอเมริกา" ขึ้น "เพื่อรักษาอำนาจและผลประโยชน์ของตนไว้"

เมื่อมีการแยกตัวออกไปซึ่งถือว่าเป็นการทำผิดกฏหมายของประเทศข้อหา"กบฏ"อย่างชัดเจน
รัฐบาลกลางจึงยอมไม่ได้ และประชาคมโลกในตอนนั้นก็ไม่มีใครยอมรับสมาพันธรัฐนี้ด้วย

สงครามเริ่มขึ้นในวันที่ 12 เมษายน ค.ศ.1861 (พ.ศ.2404 สมัยรัชกาลที่ 5 ในเมืองไทย)
เมื่อกองทัพสมาพันธรัฐโจมตีที่ตั้งทหารสหรัฐที่ฟอร์ตซัมเตอร์ในเซาท์แคโรไลนา 
ประธานาธิบดีลินคอร์นเรียกร้องให้กองทหารอาสายึดทรัพย์สินของรัฐบาลกลางคืน
เหตุการณ์นี้ทำให้มีอีกสี่รัฐไม่พอใจและแยกตัวออกไปร่วมกับสมาพันธรัฐเพิ่มขึ้น




ดาวแต่ละดวงในธงชาติของอเมริกาคือจำนวนรัฐที่มี
ในช่วงนั้นธงชาติอเมริกาเหลือดาวเพียง 35 ดวง
ส่วนธงข้างล่างคือธงของสมาพันธรัฐ ที่มีดาวทั้งสิ้น 13 ดวง ห้ำหั่นกับ 35 ดวงข้างบน

รายละเอียดว่าใครฆ่าใคร ที่ไหน อย่างไร ยิบย่อยนั้นไม่ใช่ประเด็น
"ประเด็นคือความแตกแยกก่อให้เกิดสงครามที่กินเวลานานถึง 4 ปี
และมีคนตายในสงครามครั้งนี้มากกว่า 5 แสนคน"


บทเรียนจากประวัติศาสตร์ครั้งนั้นบอกกับเราว่า
"หากข้อขัดแย้งบนกระดาษ ไม่สามารถหาข้อยุติบนกระดาษได้
มันจะถูกย้ายลงมาในสนามรบ"
"เมื่อใดก็ตามที่เราไม่มีกติกาที่ยอมรับร่วมกันได้
เมื่อนั้นสงครามและความรุนแรงจะกลายเป็นกติกาใหม่โดยอัตโนมัติ"


ลึกๆแล้วเราต่างรู้ดีว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองไทยนี่ไม่มีทางจบง่ายๆ
ถ้าคุณสุเทพตั้งสภาประชาชนได้จริงเสื้อแดงก็ไม่ยอม
ถ้าเลือกตั้งผ่านพ้นตั้งรัฐบาลได้ กปปส.ก็ไม่ยอม
เมื่อต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกัน และไม่มีกติกาที่ยอมรับได้
คุณว่า เรื่องทั้งหมดนี้จะดำเนินไปยังทิศทางไหนต่อ?

กาแฟหมดแก้วพอดี และ ทางออกก็คงไม่มี เพราะอย่างที่บอกไว้
วันนี้แค่มานั่งจิบกาแฟชวนคุยกันเฉยๆ
ผมไม่ได้พิมพ์บทความนี้ขึ้นเพื่อสนับสนุนทั้งรัฐบาลหรือกปปส.
ผมแค่อยากชงกาแฟจากกาน้ำร้อนๆ
ดูข่าววันปีใหม่อย่างชื่นมื่นกับครอบครัวในวันหยุดยาว

มากกว่าจะจิบกาแฟในวันปีใหม่
...ดูคนไทยฆ่ากันเอง



















( ๐ω๐)ノ อ่ะครับออฟคอฟฟี่ © 2013 | Powered by Blogger | Blogger Template by DesignCart.org